TOP company คาดว่าโครงการ CFP ขยายกำลังการกลั่นเสร็จปี 66

TOP company

TOP company หรือ บมจ. ไทยออยล์ โดยนาย วิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้มีการเปิดดเผยว่า โครงการพลังงานสะอาด หรือ CFP ที่มีมูลค่าของการลงทุน 4.8 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ซึ่งเป็นเป็นการปรับปรุงและขยายกำลังของการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ของการกลั่นน้ำมันดิบมากยิ่งขึ้น จากเดิม 2.75 แสนบาเรลต่อวัน ให้เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ที่จะแล้วเสร็จในช่วง ไตรมาส 1/66 ที่คาดว่าจะสร้างกำไรขั้นต้นของกลุ่ม GIM ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 4 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ต้องมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี  ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย EBITDA ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/ปี

TOP company ได้กล่าว วันที่ 5 มีนาคม 63

ทางบริษัทจัดพิธี วางศิลาฤกษ์ อาคารการควบคุมกระบวนการผลิตหลัก ในโครงการ CFP ที่ในปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วราว 31% และอยู่ในระหว่างของการออกแบบทางวิศวกรรมโดยละเอียด รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่และการวางรากฐาน เพื่อการรับงานติดตั้งโครงสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยโครงการ CFP จะทำให้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 45% และช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ หรือโอเลฟินส์ รวมถึงลดต้นทุนการกลั่นน้ำมันจากการเลือกใช้น้ำมันดิบชนิดหนัก (heavy crude) ซึ่งมีราคาต่ำได้ในสัดส่วน 45-50% จากปัจจุบันที่ใช้น้ำมันดิบชนิดเบาที่มีราคาสูงเกือบทั้งหมด

โดยที่นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า การลงทุนโครงการ CFP จะใช้เงินมากสุดในปีนี้ที่ราว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากปีที่แล้วใช้ไปประมาณ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานก่อสร้างโครงการมากนัก โดยเฉพาะในส่วนการนำเข้าอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในงานก่อสร้างที่ส่วนใหญ่จะมาจากไทย จีน และฟิลิปปินส์ ซึ่งขณะนี้ซัพพลายเออร์ยังยืนยันส่งของตามกำหนดที่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ แต่หากมีความล่าช้าก็จะสลับแผนงานการติดตั้งในส่วนที่มีความพร้อมก่อนเพื่อให้มีความเหมาะสมและเดินหน้าโครงการต่อไป

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของธุรกิจในปีนี้เพราะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันภาพรวมชะลอตัวลง โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันอากาศยาน JET ที่ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้บริษัทปรับสัดส่วนการกลั่นน้ำมันในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.

โดยลดการกลั่นน้ำมัน JET ลง 8-10% จากเดิม 23% และหันไปเพิ่มสัดส่วนผลิตน้ำมันดีเซลทดแทนเป็นราว 41-43% จากเดิมอยู่ที่ราว 33% ส่วนที่เหลือเป็นการผลิตเชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ

กับการปรับสัดส่วนการกลั่นน้ำมันดังกล่าวไม่ได้ กระทบต่อมาร์จิ้นมากนัก เพราะในปัจจุบันส่วนต่าง SPRED ระหว่างที่นำมันดิบและนำมัน JET อยู่ที่ราว 6 เหรียญ/บาร์เรล ที่ต่ำกว่าเปรดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับ 8 เหรียญ/บาร์เรล ที่เนื่องจากทางตลาดยังมีความต้องการของการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ค่อนข้างมากเพราะยังมีการเดินทาง ทางบกและการขนส่งทางโลจิสติกส์อยู่

แต่อย่างไรก็ดี สเปรดของทั้งน้ำมัน JET และดีเซล ในปัจจุบันที่อยู่ระดับดังกล่าว ก็นับว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบหลายปีจากปกติที่อยู่ราวๆ 15-18 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ได้รับแรงกดดันจากช่วงการปรับตัวรองรับเกณฑ์ ใหม่ของทางองค์กรณ์ การทางทะเลระหว่างประเทศ IMO ที่มีการดำหนด ในเรือเดินสมุทรที่ใช้น้ำมันกำมะถันต่ำ 0.5% ที่จากเดิม 3.5% ที่มีผลใช้ตั้งแต่ต้นปี 63 ที่ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อ ไวรัส COVID-19 ที่ขยายเป็นวงกว้างเข้ามาเสริมทำให้สเปรดเริ่มลดลงมาอยู่ในระดับเลขหลักเดียวของช่วงเดือน กุมภาพันธ์

CR. GCLUB

Related posts