Dubai ทำไมถึงก้าวมายิ่งใหญ่ในเวทีโลก

Dubai

Dubai ไม่เป็นเพียงแต่เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และยังมีประชากรจำนวนหนาแน่นที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ยังเป็นรัฐที่มีความเจริญสูงที่สุด ในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นนการขนส่ง ที่ได้รับการใช้บริการมากที่สุดใน ส่วนของภาคตะวันออกกลาง และมีพื้นที่สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกกลาง ที่สำคัญยังมีโรงแรมสุดหรูหราที่สุดในโลก

Dubai

Dubai ไม่ใช่ทองคำในแท่นขุดเจาะ

ผู้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าดูไบนั่นร่ำรวยจากการครอบครองน้ำมันดิบ ทั้งที่น้ำมันดิบดูไบนั้น มีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 1 ของการผลิตภัณฑ์ ของมวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของการพัฒนาทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง ที่เป็นการส่งผลให้กับการพัฒนาของดูไบ จากหมู่บ้านชาวประมงริมอ่าวเปอร์เซีย นั่นกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ดินแดนไข่มุกกลางทะเลทราย ใน ช่วงปี ค.ศ. 1770 -ปลายปี ค.ศ 1930 ในช่วงนี้ที่ยังไม่ได้มีการค้นพบน้ำมันดิบ และธุรกิจหลักของดูไบเป็น ไข่มุก ที่ต่อมา เมื่อธุรกิจไข่มุกเริ่มซบเซา ที่ชาวเมืองดูไบเริ่มประสบกับปัญหา ความอดอยากจึงทำการอพยพ ไปอยู่ที่เมืองอื่น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1958 ที่ทาง Sheikh Rashid saeed Al Maktoum ที่เป็นผู้นำของทางดูไบ ได้ทำการกู้เงินมากว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความเป็นเมืองของดูไบ จึงเริ่มต้นขึ้น

การเดินสายไฟฟ้า การติดตั้งสัญญาณโทรศัพท์ การสร้างสนามบินแห่งแรก จนสำเร็จในช่วงปี ค.ศ. 1960 และต่อมาในปี ค.ศ. 1966 ทางดูไบก็ได้เริ่มค้นพบในส่วนของน้ำมันดิบ และเงินในส่วนของการส่งออกน้ำมันดิบก็ถูกนำมาเพื่อการใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอย่างต่อเนื่อง เมื่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองนั้นเริ่มแข็งแรง ดูไบเองก็เริ่มทำการวางแผนดึงดูด นักลงทุนมากขึ้นด้วยการเปิดเขตการค้าที่เสรีแห่งแรก ในช่วงปี ค.ศ. 1985 ได้แก่ jebel Air Free Zone

หรือจะเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Jafza ที่จากนั้นในปีค.ศ. 1990 จึงเปิดเขตของ ดูไบ มีเดีย ซิตี้ และ ดูไบ อินเทอร์เน็ต ซิตี้ โดยที่มีการกำหนดให้เขตทั้งสองส่วนนี้ นั้นปลอยภาษีกว่า 50 ปี

โดยการสร้างขอบเขตของการค้าที่ยืดหยุ่นทางด้านภาษีและ ส่วนของใบอนุญาตให้กับชาวต่างชาติ เป็นเจ้าของได้นี้ดึงดูดนักลงทุนจากส่วนของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ที่ในปัจบัน ภายใน Jafza ที่มีบริษัทต่างชาติเข้ามามากกว่าหลายพันแห่ง ที่เกิดจากการจ้างแรงงานมากกว่า 150,000 คน ที่กระตุ้นส่วนของยอดขายได้มากกว่า 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และช่วยในเรื่องของการกระตุ้นยอดของ GDP ของดูไบมากถึง ร้อยละ 21

หัวใจหลักคือ เสรีการค้า ที่ได้มีการจัดตั้ง การค้าเสรี ที่ส่งผลให้ทางดูไบ กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก ตั้งแต่ช่วงต้น ศตวรรษที่ 20 ที่เนื่องมาจาก ทางท่าขนส่งสินค้า ที่เป็นหลักของทางดูไบ ที่อยู่ในเขตปลอดภาษี และมีอาณาเชตติดกับอิหร่าน ที่รวมถึงว่าเป็นทางเข้าสู่อ่าวเปอร์เซีย
การท่องเที่ยวที่สำคัญของที่ ทางดูไบได้ทุ่มทุนงบแระมาณในการสร้างแหล่งท่องเที่ยว ที่มีความน่าสนใจ เพื่อนการดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) ที่เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก โดยที่ใช้งบประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหมู่เกาะต้นปาล์ม ที่ใช้งบประมาณ 12.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เพราะส่วนของการกระจายความเสี่ยงขอชาติ ทำให้เติมโตได้จากวิสัยทันศ์ ของการปกครองที่ไม่คิดที่จะพึ่งพารายได้ ในส่วนของการส่งออกน้ำมันเพียงแต่ทางเดียว แต่เลือกการลงทุนกันการคมนาคม ทางอสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว จนกระทั่งดูไบได้กลายเป็นศูนย์กลาง ของธุกิจโลก และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดหรู

แม้ว่าทาดูไบ นั่นจะโดนผลกระทบจาก วิกฤติของ เศรษฐกิจโลกในช่วงปี ค.ศ. 2008 ที่นักลงทุน ได้ยกเลิกโครงการ ราคาสินทรัพย์ที่เริ่มต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังมุ่งมั่นในการพัฒนา ระบบเศรษฐกิจ ไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีแผนการสร้างโรงงานถ่านหินขนาดใหญ์แห่งแรกขึ้นใน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขึ้นมาภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ความกล้าเสี่ยงของการลงทุน จึงทำให้ดูไบได้เจริญเติบโตมากที่สุกในโลกมาจนถึงทุกวันนี้

CR. boothbayfoodandmusic.com

Related posts