Krungthai คาดกำไร 63 โตต่อเนื่อง จากปีก่อน ยอดที่จ่ายบัตร+15%สินเชื่อ +10%

Krungthai

Krungthai Card Public Company Limited หรือ บมจ. บัตรกรุงไทย KCT ได้มีการกล่าวว่า  ทางบริษัทได้มีการคาดการณ์ ว่ากำไรของปีนี้ จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ที่ตามการเติมโตของธุรกิจของบัตรเครดิต ที่คาดว่าจะมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่เติบโต 15% และการเพิ่มจำนวน บัตรเครดิตอีก 3.2-3.5 แสนบัตรโดยที่ทางบริษัทฯ ยังคงทำโปรโมชั่น และแคมเปญให้ออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดปี ที่มีการขยายการร่วมมือ กับทางพันธมิตรร้านอาหาร การท่องเที่ยว และการทำโปรโมชั่น แล้วยังมีแคมเปญต่างๆ อีกมากมาย เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการสมัครบัตรใหม่ และการกระตุ้นยอดการใช้จ่ายของลูกค้า ที่รวมถึง การบริหารการชำระหนี้ของลูกหนี้ หรือ การมีประวัติ การผ่อนชำระดี Krungthai สำหรับการผ่อนจ่าย สำหรับสภานณการณ์ ใช้จ่ายผ่านบัตรในช่วงเดือน มกราคม ที่ผ่านมา นั้นยังคงเติมโต ได้อย่างดี แต่การเติบโตในระดับที่น้อยลง หลังจากการที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเดลีเวอรี่ แต่ยังมีโอกาสที่ดีในการเติมโตในส่วนของซุปเปอร์มร์เก็ต และออนไลน์ ในขณะที่ ทางภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอการออกตั๋วเครื่องบิน และการยกเลิกตั๋ว ซึ่งทางบริษัท ก็จะติดอยู่ระหว่าง การติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด นั้นว่าจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงไหน ในขณะที่ทางธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าว่ามีการเติบโตอยู่ 10% จากปีก่อนอยู่ราว 7% เนื่องด้วยภาวะของเศรษฐกิจชะลอตัว ที่ส่งผลทำให้ลูกค้าที่มีความต้องการ ทางการใช้เงินจำนวนมาก ที่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการตั้งเป้าคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมปีนี้ให้อยู่ในระดับใกล้เคียง กับปีก่อนที่อยู่ที่ 1.06% แม้ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณคุณภาพของสินทรัพย์ (Asset Quality) แย่ลง และเศรษฐกิจชะลอตัว มีผลกระทบต่อลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้า Manufacturing และ Trading แต่บริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถรับมือได้ดีกว่าค่ายอื่น จากการคัดเลือกลูกค้าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบกับบริษัทฯ ยังมีแผนนำเทคโนโลยีเข้ามา คาดจะช่วยให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลงในระยะยาว CR.…

Read More

NC Group ตั้งเป้าปี 63 ทำยอด 2.7 พันลบ. รายได้ 1.6 พันบล.

NC Group

NC Group หรือ บมจ. เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) โดยนาย สมนึก ตันฑเทอดฑธรรม กรรมการผู้จัดการ ได้มีการออกมาเปิดเผยว่า ในช่วงปีนี้ของทางบริษัทที่พร้อมทั้งการรุกขยายธุรกิจโครงการแบบแนวราบ ที่เพิ่มขึ้น ยังมุ่งการเติบโตของ บ้านทาวเฮ้าส์ บ้านแฝด บ้านเดี่ยว โดยระดับราคาอยู่ที่ 2-5 ล้านบาท กับการสร้างฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้นด้วยการสื่อการตลาดออนไลน์ ที่เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อบ้าน และมีกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทางการขาย เพื่อการรองรับการเปิดโครงการใหม่แนวราบเพื่อเพิ่มอีก 5 โครงการ ในอีก 3 ทำเลศักยภาพ ที่มีมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายของยอดขายกว่า 2,700 ล้านบาท และการรับรู้รายได้ 1,600 ล้านบาท NC Group กับการวางแผนงาน การดำเนินงาน เพิ่มชูความพร้อมเสริมความแกร่ง ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ที่เดิมทีตามแผนการธุรกิจหลักขององค์กร “รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ” นั้นก็ตอบรับความมั่นใจให้กับแบรนด์ คือ Product โดยการมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้า ที่เพิ่มทางเลือกให้กับผู้เลือกซื้อบ้าน ด้วยการควบคู่การพัฒนา Strategic Partner ที่พันธมิตรของผลิตภัณฑ์ ให้ถูกในผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ Customer Centric การให้ความสำคัญกับลูกค้า เป็นอันดับแรก เพื่อเพื่อการบริการที่มีการยกระดับการอยู่อาศัย ในสังคมชุมชนให้สอดคล้องกันกับ แนวคิด “รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ” ไปสู่ต้นแบบของการดูแลบริหารชุมชนโครงการบ้านจัดสรรที่ดี Home Innovation ที่นำนวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อที่อยู่อาศัย มาพัฒนาโครงการ โดยที่ผนึกพันธมิตร ให้ดีขึ้น ที่มีความทันสมัย สะดวก สบาย เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข โดยที่มีการเปิดเผยว่าโครงการใหม่ ที่ปีนี้จะเน้นโครงการแนวรับทั้งหมด ที่ส่วนใหญ่ นั้นเป็นทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝด ที่อยู่ในกลุ่มราคา 2-5 ล้านบาทมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มระดับกลางที่ยังมีโอกาส…

Read More

Stock Market, New York : ที่ดาวโจนส์ปิดร่วง 277.26 จุด

Stock Market

Stock Market, New York ที่ดัชนีดาวโจนส์ ปิดล่วงลง เมื่อวันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ 63 ที่เนื่องจาก นักลงทุน ขายหุ้นออกมาเพื่อทีจะทำกำไร หลังจากที่ตลาดทยานตัวขึ้นตัวต่อกัน 4 วัน แม้ว่ากระทรวงแรงงานของทางสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขของการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ก็ตาม ในขณะที่ทางนักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าของสถานการณ์ของ ไวรัสโคโณนา ที่มีการแพร่ระบาด Stock Market, New York ดัชนีเฉลี่ยของ อุตาหกรรม ดาวโจนส์ ที่ปิดไว้ที่ 29,102.51 จุด ที่ลดลงไปถึง 277.26 หรือ -0.94% ดัชนี S&P500 ที่ปิดไว้ที่ 3,327.71 จุด ที่ลดลงไป 18.07 จุด หรือ -0.54% แต่ในรอบของสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ที่ดัชนี เฉลี่ยของอุตสาหกรรมดาวโจนส์ บวก 3% ดัชนี S&P500 ที่เพิ่มขึ้นมา 3.2% และดัชนี Nasdaq ที่มีการปรับตัวขึ้น 4% โดยที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้ปรับตัวลงจากแรงขายการทำกำไร หลังบวกขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกัน ในขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ ของการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ อย่างใกล้ชิด  ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความระบุว่า เขานั้นได้สนทนาทางโทรศัพท์ กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนและยังคงแสดงความเชื่อมั่นแล้วว่า สามารถประสบชัยชนะในโรคระบาดนี้ได้ ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ FED ที่ได้มีการส่งการรายงานนโยบายทางการเงิน ให้กับทางสภาคองเกรสสหรัฐที่มีการระบุไว้ว่า FED กำลังจับตามองการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ที่ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของทางเศรษฐกิจของ สหรัฐ ที่ทางFED ได้มีการระบุว่า…

Read More

SET50 ภาวะตลาดอนุพันธ์ แกว่ง Sideway รับบ้างกรณีศาลชี้ร่าง พ.ร.บ. ปี 63

SET50

SET50 Index Futures ในวันนี้ โดยนาย ศราวุธ เตโชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ได้มีการกล่าวถึงการซื้อขาย SET50 Index Futures ที่ภาพรวมของวันนี้ ยังแกว่ง Sideway แม้ว่าจะยังมีความผันผวนในบางช่วงที่รอการการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อ การร่าง พ.ร.บ. ที่เป็นรายการจ่ายประจำ ในช่วงงบประมาณของปี 2563 แต่เมื่อที่มีคำวินิจฉัยออกมาอย่างเป็นทางการ โดยที่มีการให้ผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ดำเนินที่ถูกต้องตามขั้นตอน ที่ต้องมีการพิจารณาร่างจดหมายดังกล่าวขึ้นมา เพื่อเป็นเฉพาะทางในวาระที่2 และวาระที่3 จากการที่มี ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน ในการโหวตเป็นการกระทำ ที่แสดงออกถึงการไม่สุจริตนั้นตลาดก็ไม่ได้ตอบรับอะไรมากนัก เพราะส่วนหนึ่งก็เป็นไป ในทิศทางที่ทางการตลาดนั้นมีการคาดการณ์อยู่แล้ว ทั้งนี้ ตลาดยังมีการตอบรับของการคาดการณ์ สถานการณ์ ไปแล้วในบางส่วน ตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ ที่มีข่ายที่เกี่ยวกับการว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยร่างกฎหมายงบ ประมาณของปี 2563 ในวันนี้ เพราะเป็นการตัดสินใจที่เร็วที่สุดเกินกว่าที่คาด ซึ่งจะเป็นการที่ทำให้งบประมาณ นั้นมีความล่าช้าออกไปอีกมาก ไม่ก็อาจจะเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก โดยที่หลังจากนี้ ทางสภาฯ ก็จะต้องมีการโหวต สาระ 2 และ วาระ3 อีกครั้งภายใน 30 ตามที่ศาลฯ ได้กำหนด ซึ่งน่าจะอยู่ในกรอบ ของเวลาที่ทางสภาฯ จะปิดในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะทำให้การร่างกฎหมายงบประมาณของปี 2563 ไม่มีปัญหา แต่อย่างไรก็ต่าง ทางตลาดก็ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามทั้งในส่วนการแพร่ ระบาดของ ไวรัสโคโรนา และตัวเลขของการจ้างงานนอกภาคเกษตร ของเดือน มีนาคม ของทางรัฐที่จะมีการออกมาในช่วงคืนนี้ ซึ่งก่อนที่จะออกมาไม่ดีเท่ากับที่มีการคาดการณ์ว่า ทางธนาคารสหรัฐ FED นั้นก็พร้อมที่จะผ่อนคลลายนโยบายทางการเงินที่ จะเพิ่มเติม โดยประกอบกับสถานการณ์ ของไวรัสโคโรนา ที่อาจจะยังยื้ดเยื้อ ก็จะทำให้ทางธนาคารกลางหลายแห่งอาจใช้นโยบายของการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วย เศรษฐกิจให้ดีขึ้น และทำให้เศรษฐกิจ…

Read More

EXIM BANK ลดดอกเบี้ยลค. ทั่วไปและ SMEs เหลือ 5.985% ต่ำสุดในระบบ SFIs

EXIM BANK

EXIM BANK ได้มีการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไป และ SMEs ที่เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์ จากเดิมทีที่ อยู่ในระดับต่ำสุดใน SFIs ที่อยู่แล้ว เหลือเพียง 5.985% ต่อปี ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 63 เป็นต้นไป ที่พร้อมทั้งการเสนอโปรแกรมสินเชื่อพิเศษที่ช่วยในการสนับสนุน ให้มีเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการในการดำเนินการธุรกิจหรือ การนำเข้าเครื่องจักร เทคโนโลยีการผลิต เพื่อการขยายกำลังการผลิตหรือ การปรับปรุงโรงงาน ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง 2% ต่อปี EXIM BANK ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าประเทศไทย โดย นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมกการผู้จัดการ ได้มีการเปิดเผยว่า ปัจจุบัน มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ PRIME Rate สำหรับลูกค้า ทั่วไปและ SMEs อยู่ที่ 6.00% ต่อปี ซึ่งในขั้นต่ำที่สุดของระบบ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ SMIs ที่เนื่องมาจาก การนำร่องลดอัตราดอกเบี้ย เพิ่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการค้าธุรกิจระหว่างประเทศ ให้แก่ผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะตอบรับนโยบายของนัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยบโยบาย ที่รวมถึงให้ความสำคัญกับทางผู้ประกอบการ ของการขับเคลื่อนการเติบโต เศรษฐกิจไทย ที่ได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ให้เหลือ 5.985% ต่อปี โดยที่มีผลตั้งแต่ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 63 เป็นต้นไป ที่ได้มีการกล่าวว่า ภายใต้ของภาวะดอกเบี้ยของนโยบายที่ปรับลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ที่ประกอบกับเงิน ที่แข็งค่ามาอย่างต่อเนื่องในระดับ 30-31 บาบ ต่อ ดอลลาร์สหรัฐ จึงถือว่าแข็งค่าขึ้นถึง 15% ถ้าเทียบกับปี…

Read More

นักลงทุน มองหุ้นไทยยังเสี่ยงแม้ลดดอกเบี้ยเหลือ 1% แนะกระจายสินทรัพย์

นักลงทุน

นักลงทุน รุ่นใหม่มองหุ้นไทยภาพกว้างที่ยังเป็นขาลงและ P/E ยังสูง แม้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือเพียง 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่กังวลผลตอบแทนตลาดเงินลดลงตามดอกเบี้ย ที่กระจายเงินลงทุนหุ้นปันผล ของกอง RIET โดยรวมถึงสินทรัพย์ ดิจิทัล ที่กำลังมีแนวโน้มขาขึ้น      นักลงทุน รุ่นใหม่ของหุ้นไทย นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากประเทศอังกฤษ และผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space สถาบันที่ให้ความรู้ในด้านนวัตรกรรม  การลงทุนในรูปแบบใหม่ที่มองว่าการที่ กนง. ได้มีการลงมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 1% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ที่ประเทศไทย มีการใช้นโยบายทางการเงิน   ที่ส่งผลในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นของไทย โดยที่ที่ถือว่าเป็นยาแรงที่เจ้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังจากที่มีปัจจัยลบที่เกิดขึ้นมาใหม่ คือ ไวรัสโคโรนา ที่ก่อนหน้านี้นั้นมีปัจจัยเรื่องงบประมาณรายจ่ายที่ล่าช้า ที่รวมถึงเหตุภัยแล้งอยู่แล้ว กับสิ่งที่เกิดขึ้นคือ SET Index ที่ปรับขึ้น 14 จุด ที่เมื่อวานนี้แต่ความเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยที่ยังมีอยู่ สิ่งที่ตามมาหลังจากที่มีการลดดอกเบี้ย ก็คือการตอบแทนในทุนตลาดเงิน ที่เนื่องมาจากพันธบัตรส่วนใหญ่ที่จะอ้างอิงจากผลตอบแทน จากดอกเบี้ยที่รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ที่มีโอกาสปรับตัวลดลง ที่ทำให้นักลงทุนต้องมีการปรับพอร์ตเพื่อหาสินทรัพย์ที่ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี ที่นอกจากนี้สินทรัพย์อย่าง กอง REIT และยังน่าสนใจในการลงทุนเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากนักหากลงทุนในโครงการที่สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่อง ขณะที่ทองคำช่วงนี้อาจจะมีการพักตัวบ้าง และภาพรวมทางเทคนิคในระยะกลางถึงยาวยังคงแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ที่ช่วงนี้ที่ราคาย่อตัวลงมายังมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้ CR. UFABET1688

Read More

ตลาดหุ้นไทย ปิดบวกเช้า 4.36 จุด ตลาดแกว่งตัวช่วงลุ้นผลประชุม กนง.

ตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทย ที่ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ปิดช่วงเช้าของวันนี้ ไว้ที่ 1,523.74 จุด ที่เพิ่มขึ้นมา 4.36 จุด หรือ +0.29% ที่เป็นมูลค่าของการซื้อขายอยู่ที่ 30,202.51 ล้านบาท ของการซื้อขายหุ้น ของช่วงเช้าวันนี้ ที่ดัชนีไทย มีความเคลื่อนไหวทั้งในแดน บวก-ลบ โดยที่มีการทำระดับสูงสุดอยู่ที่ 1,527.92 จุด และทำระดับต่ำสุดอยู่ที่ 1,516.55 จุด ตลาดหุ้นไทย ในแดนบวก-ลบ โดย นางสาว ธีรด ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ที่กล่าวไว้ว่า หุ้นไทยเข้าวันนี้มีความแกว่งตัวสูงมาก ทางด้านข้างของ ดัชนี ที่มีความเคลื่อนไหวทั้งแดนบวกและลบ ในช่วงของการรอผลการประชุม คณะกรรมการยบายการเงิน (กนง.) ของบ่ายวันนี้ ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือไม่ ในขณะที่ในสถาณการณ์ของไวรัสโคโรนายังเป็นที่ตามติดอยู่อย่างใกล้ชิด ทางด้านของตลาดหุ้น ในส่วนของภูมิภาคหุ้นเอเชีย ในช่วงเช้า ที่จะอิงไปทางบวก ซึ่งจะเป็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากของเมื่อวาน โดยหลังจากที่จีนได้ออก มาตรการของการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้มาช่วยหนุตลาดหุ้นจีน และตลาดก็ได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว ประกอบกับสถานการณ์ไวรัส ก็ไม่ได้แย่ลงหรือรุนแรง จึงทำให้เริ่มเห็นการทรงตัว ส่วนบ้านเราทางภาครัฐฯก็ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาให้กับผู้ประกอบการเช่นกัน แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา กล่าวว่า ตลาดฯมีโอกาสผันผวน ซึ่งหากกนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำอยู่แล้ว คงจะช่วยในแง่ Sentiment เท่านั้น แต่กลุ่มแบงก์อาจเป็นภาพ Negative และผลกระทบจากไวรัสโคโรนาก็ยังมีต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับ 1,510-1,515 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530 จุด ในส่วนหลักทรัพย์ที่มี มูลค่าของการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ GPSC ที่มีมูลค่าของการซื้อขาย 2,071.14 ล้านบาท ปิดที่…

Read More

Tisco คาดว่าโคโรนา ใกล้จบไตรมาส 1 ให้แนวรับกับหุ้นไทย 1,480 จุด

Tisco

Tisco ได้มีการเผยว่าไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจประเทศไทย ที่มีการประเมินที่อาจจะกระทบจีดีพี ประมาณ 1% ส่งผลต่อมาร์เก็ตแคป ที่หุ้นไทยลดลง 1.07-1.14 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่ากับดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 100 จุด ชี้ถึงไตรมาสแรก ที่มีโอกาสเห็นถึงแนวรับ 1,480 จุด ที่คาดการณ์ว่าจะคุมไวรัสโคโรนาได้ในระยะ 1-2 เดือน Tisco หรือ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด โดยนาย อภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ ได้มีการเปิดเผย ตลาดหุ้นไทย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ยังคงมีความผันผวนสูงตามความไม่แน่นอนของการร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 และในส่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โดยที่ในส่วนของผลกระทบแม้ว่าการระบาดจะยังเป็นไปอย่างรวดเร็ว กว่า โรค SARS ในช่วงปี 2546 แต่ก็มีความรุนแรงของโรค ที่อาจจถรุนแรงน้อยกว่า ดังที่เห็นจากการอันตราย ต่อการเสียชีวิต จากไวรัสโคโรนา อยู่ 2% ของจำนวนผู้ที่ป่วยของทั้งหมด โดยในขณะที่โรค SARS อยู่ที่ 10%  ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ที่นอกจากนั้น ทางเทคโนโลยี ทางการแพทย์ ที่มีความทันสมัยกว่า และการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วขึ้น จากทางจีนแล้ว น่าจะทำให้การควบคุมไวรัส นั้นได้ไวขึ้น โดยที่จำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัส นั้นก็เพิ่มขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แต่ทาง บล.ทิสโก้ ก็ยังเชื่อว่าจำนวนผู้ที่ป่วยก็จะค่อยๆ ลดลงในไม่ช้านี้ และจะมีการควบคุมโรคได้ภายในระยะเวลา 1-2 เดือน เพราะแต่ลพประเทศ ต้องการที่จะยั้บยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หลังจากที่ทางองค์การอนามัยโลก WHO ได้มีการออกมาประกาศ ว่า ไวรัสโคโรนา เป็น สภาวะฉุกเฉินด้านทางสาธารณสุขของโลก สำหรับการที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ถ้าหากนำการระบาดของไวรัส ครั้งนี้ เทียบเคียงกับการระบาดของโรค SARS  ในครั้งก่อน โดยที่มีการสมมุติฐานว่า …

Read More

TWPC ซื้อกิจการ ATP ถือหุ้น 99.50% คาดเป้าหมายกำไร 1 หมื่นลบ.

TWPC

TWPC นำทีมโดยบริษัทย่อย ทำการซื้อ ATP ซึ่งเป็นผ็ถือหุ้นใหญ่ใน เวียดนาม แทปโอป้า ที่เป็นผู้ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง ในเวียดนาม โดยที่ หุ้นโดยรวม ทั้งทางตรงและทางอ้อม กว่า 99.50% ที่หวังส่วนของรายได้และกำไร ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่จะเพิ่มมูลค่า High Value-Added ที่เติบโตไปอย่าวแข็งแกร่ง ที่ตั้งเป้าไว้ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งยังรักษาตำแหน่งผู้นำ ของทางด้านเอเชีย ของธุรกิจมันสำปะหลัง TWPC หรือ บริษัท ไทยวา จำกัด(มหาชน) โดย นาย โฮ ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ซึ่งผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ แป้งมันสำปะหลัง และเป็นผู้นำทางการตลาด โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นสด และวุ้นเส้นแห้ง ในประเทศไทย ได้มีการเปิดเผยว่า บริษัท ไทยวา (6) จำกัด หรือ TW6  จากผู้ที่ถือหุ้น ATP จำนวน 18 ราย นั้นเพิ่มอีก เป็นจำนวน 973,000 หุ้น ที่คิดเป็นร้อยละ 99.50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ของ ATP ในราคา ของการซื้อขาย รวมทั้งสิ้น 49.60 ล้านบาท ที่ยังมีการคาดการณ์ ว่าธุรกรรมของการซื้อหุ้น ATP นี้จะเสร็จสิ้นภายในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2563 ที่จะส่งผลทำให้ทาง TWPC นั้นมีสัดส่วนทางการถือหุ้นทั้งในทางตรงและ ทั้งในทางอ้อม รวมเป็น 99.50 ในทางตรง ATP ที่เป็นสัดส่วนร้อยละ 30.00 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และถือหุ้นทางอ้อมผ่านทาง TW6…

Read More

ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ เหตุนลท.วิตกไวรัสระบาด,ผิดหวังข้อมูล GDP ยูโรโซน

ตลาดหุ้นยุโรป

ตลาดหุ้นยุโรป ปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ วันที่ 31 มกราคม 2563 เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ จากจีน หลังจากอังกฤษและอิตาลียืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัส 2 รายแรกในประเทศ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของยูโรโซนที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/2562 ตลาดหุ้นยุโรป ไตรมาส 4/2562  ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 1.07% ปิดที่ 410.71 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,806.34 จุด ลดลง 65.43 จุด หรือ -1.11%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,981.97 จุด ลดลง 175.15 จุด หรือ -1.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,286.01 จุด ลดลง 95.95 จุด หรือ -1.30% ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในสัปดาห์นี้ในรอบเกือบ 6 เดือน และร่วงลงมากที่สุดในเดือนม.ค.นับตั้งแต่ปี 2559 ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลก ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคระบาดดังกล่าวเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วโลก หลังจากที่มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมากกว่า 200 คน และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 คนแล้ว รัฐบาลทั่วโลกได้เร่งยุติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวจากจีน ขณะที่การระงับการเดินทางและภาวะชะงักงันด้านห่วงโซ่อุปทานทำให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต้องประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคระบาดดังกล่าวอีกครั้ง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรป โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของยูโรโซน มีการขยายตัว 0.1% ในไตรมาส 4…

Read More