KBANK ค่าธรรมเนียมจากประกัน-กองทุนรวม ผลกระทบธุรกรรมผ่านดิจิทัล

KBANK

KBANK ธนาคารกสิกรไทย นางสาว ขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดเผยว่า การที่ลูกค้าหันไปทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับธนาคารก็เดินหน้าผลักดันการทำธุรกรรมผ่านทางระบบนั้น ก็ส่งผลต่อการกดดันต่อรายได้ค่าธรรมเนียม ในปี 2563 ที่อาจจะยังติดลบราวๆ 5-17% แต่ทางธนาคารก็พยายามทำให้รายได้ค่าธรรมเนียม กลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ ผ่านการปรับกลยุทธ์ของธนาคารที่หันไปเจาะกลุ่มของลูกค้าที่มีรายได้ในระดับกลาง โดยที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์การโอนเงินอื่นๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ของ KBANK ด้านการลงทุนกองทุนรวม และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน ที่เป็นทางเลือกและการเจาะกลุ่มลูกค้ารายได้ระดับปานกลาง ซึ่งที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์กองทุนรวมและประกัน อาจจะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่รายได้ระดับบน หรือผู้ที่มีรายได้สูงเป็นหลัก  ที่จะทำให้ธนาคารเห็นถึงโอกาสที่จะนำผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างนี้ไปขยายยังกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลาง เพื่อให้เข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น และเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนมาก ซึ่งมองว่าอาจจะช่วยทำให้รายได้ของ ค่าธรรมเนียมของธนาคารฟื้นคืนกลับมาได้ ซึ่งในปัจจุบันทางธนาคารได้เปิดให้บริการในการซื้อผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนกองทุนรวม ผ่านทางระบบออนไลน์ ที่สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 1 บาท และผลิตภัณฑ์ประกันที่เป็นอีกทางเลือกที่จะ เจาะกลุ่มลูกค้าในระดับกลางและระดับล่างมาขึ้น และการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใกหม่ที่นิยมบริการช่องทางการเงินผ่านทางออนไลน์ และมีการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ธนาคารเข้าถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้น และจะทำให้มีลูกค้าที่หลากหลาย และจะมองว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยในเรื่องของการผลักดันรายได้ของค่าธรรมเนียม ของธนาคารให้ฟื้นกลับมาได้ใน 2-3 ปีจากนี้ ส่วนสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตอีก 5% ซึ่งก็เป็นกรอบล่างของธนาคาร ที่ตั้งไว้ว่าจะโต 5-7% จากปัจจัยกดดัน ของภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่มีการชะลอตัว กับสงครามทางการค้า ค่าเงินที่แข็งค่า ที่กระทบต่อภาคส่งออก ความมั่นในในเรื่องของการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามธนาคารก็ยังคงเดินหน้าที่ทำให้ภาพรวมของผลการดำเนินงานของธนาคารที่ยังคง ท้าทายอยู่อย่างมาก ซึ่งปีหน้าธนาคารได้ตั้งเป้าสินเชื่อที่โตขึ้นไปถึง 4-6% CR. UFABET

Read More

บริษัท ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ UNIQ วงเงินไม่เกิน 6 พันลบ.

บริษัท ทริสเรทติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด  ยังคงระดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด UNIQ อยู่ที่ระดับ BBB+ พร้อมทั้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ BBB ในขณะเดียวกันที่ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสุทธิ ที่ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงิน กว่า 6,000 ล้านบาท ของทางบริษัทที่ระดับ BBB โดยที่อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสุทธิ ไม่มีหลักประกัน ถ้าเมื่อเทียบทรัพย์รวมของทางบริษัทที่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับกว่า 20%  ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ของทาง ทริสเรทติ้ง ในการที่ บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระหนี้ อันดับเครดิตที่สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของบริษัท มูลค่างานในมือมหาศาล และความสามารถ ในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากความเสี่ยงทางธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มขึ้นระดับการก่อหนี้ของบริษัท และความเสี่ยงของทางบริษัทของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่เป็นวงจรขึ้นลงและยังมีการแข่งขันสูง และผลของการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2562 เป็นไปตามคาดการณ์ของ  ทริสเรทติ้ง โดยที่รานจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเล็กน้อยถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 8,800 ล้านบาท ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจ่ายว่ารายได้ยังคงแข็งแกร่ง อยู่ที่ระดับ 21.8% ที่งนี้ ในช่วของ 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้ง มีการคากว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 11-18 พันล้านบาท ต่อปี ในขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัท อยู่ที่ 20% แต่หนี้รวมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดเอาไว้อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินทุนหมุนเวียน โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการต่อเงินทุนของทางบริษัท ที่เพิ่มขึ้นเป็น 58.1% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การขยายธุรกิจของบริษัทอาจจะทำให้อัตราส่วนการก่อหนี้นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 60% ได้ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าที่คาด แต่การส่งมอบโครงการขนาดใหญ่ของบางโครงการในช่วงไม่กี่ปีนี้อัตราส่วนการก่อหนี้ได้ลดลง ที่ทริสเรทติ้ง ยังคงเป็นเป้าระยะกลางของอัตราส่วนหนี้สินต่อเงินทุน ประมาณ…

Read More

ตลาดหุ้นเอเชีย 11/12/2562 ปิดภาคเช้าผันผวน นลท. จับตาดูประชุม FED

ตลาดหุ้นเอเชีย 11/12

ตลาดหุ้นเอเชีย 11/12/2562 กับการปิดภภาคเช้าที่สุดจะผันผวน ทั้งใน บวกและลบ ในขณะที่นักลงยังคงติดตามสถานการณ์ทางการค้าระหว่าง สหรัฐและจีน รวมทั้งผลการประชุมของคณะ กรรมการที่กำหนดนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ OPEC ตลาดหุ้นเอเชีย 11/12/2562 ดัชนีเกิดความผันผวน ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่ปิดภาคเช้าไว้ที่ 23,352.91 จุด ที่ลดลงไป 57.28 จุด หรือ -0.24% ดัชนี HIS ตลาดหุ้นฮ่องกง ที่ปิดภาคเช้าไว้ที่ 26.522.89 จุด ที่เพิ่มขึ้นไป 86.27 จุด หรือ +0.33% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ที่ปิดภาคเช้าไว้ที่ 1,5643.14 จุด ที่เพิ่มขึ้นไป 2.35 จุด หรือ +0.15% สื่อต่างประเทศหลายๆแหล่ง ที่รวมมาถึงสำนักข่าว ที่มีการรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่ จีนมีการคาดการว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากสหรัฐ จะเลื่อนการปรับภาษีนำเข้าสินค้าจีน ที่กำหนดไว้ในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 62 เพื่อให้เวลามาขึ้นในการเจรจา ที่ทำข้อตกลงทางการค้าขั่วคราว ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังคงยืนยันว่าจะใกล้บรรลุข้อตกลง แม้ว่าต้องเลื่อนกำหนดเส้นตายหลายครั้งแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้มีการเปิดเผยว่า ทางสหรัฐและจีนนั้นได้มีการติดต่อกับเกือบทุกวัน ใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีนำเข้า ที่ถูกกำหนดไว้ แต่แทนที่จะยกเลิกภาษีที่มีอยู่ กลับเป็นการให้ความสำคัญกับการปรับลดอัตรภาษีที่มีผลปรับใช้แล้ว ที่ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้มีการเปิดเผยไปในวันนี้ ได้แก่ ธนาคารกลางญี่ปุ่นBOJ เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จะเป็นมาตราวัดเงินเฟ้อจากภาคการค้าส่ง ที่ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือน พฤศจิกายน เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้น และการปรับภาษีการบริโภค ยังคงส่งผลกระทบต่อราคา ค้าส่ง ที่เจ้าหน้าที่จาก BOJ ระบุว่า ราคาสินค้าที่มีการซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท ที่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6…

Read More

ภาวะตลาดน้ำมัน WTI ปิดลบ 18 เซนต์ เหตุแรงขายทำกำไรกดดันตลาด

ภาวะตลาดน้ำมัน

ภาวะตลาดน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส WTI ของตลาดนิวยอร์ก ที่ปิดลบไปเมื่อคืน วันที่ 9 ธันวาคม 2562 เนื่องจากนักลงทุนขายสัญญาน้ำมันดิบออกมาเพื่อทำกำไร หลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นไปอย่างมาก เมื่อในวันศูกร์ที่ผ่านมา ในขณะที่ทางนักลงทุนยังคงจับตาดูว่ากลุ่มประเทศของผู้ส่งออกน้ำมัน OPEC และประเทศพันธมิตร จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่จะปรับลดการผลิตลงอีกหรือไม่ ภาวะตลาดน้ำมัน ตามสัญญาน้ำมันดิบ WTI ที่ส่งมอบในเดือน มกราคม ที่ลดลงไป 18 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดไว้ที่ 59.02 ดอลลาร์ / บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือน กุมภาพันธ์ ที่ลดลงไป 14 เซนต์ หรือ 0.2%  ปิด ไว้ที่ 64.25 ดอลลาร์ / บาร์เรล Amarpeet Singh นักวิเคราะห์ราคาน้ำมันจากทางบริษัทบาร์เคลย์ ระบุว่า  ตลาดน้ำมันถูกกดดันจากความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลผลิตของ OPEC หลังวันที่ 31 มีนาคม 2563 และการคำนวณเป้าหมายการผลิตของรัฐเซีล ที่ไม่รวมคอนเดนเซท ที่ตลาดน้ำมันปรับตัวลงจากแรงขายที่ทำกำไร หลังจากพุ่งตัวขึ้นไปถึง 1% เมื่อวันศุกร์ ที่ขาบรับว่า OPEC และประเทศพันธมิตร มีมติการปรับลงกำลังการผลิตน้ำมันอีก 500,000 บาร์เรล /วัน ซึ่งเป็นการปรับลดกำลังการผลิตมากกว่านักวิเคราะห์การณ์คาดไว้ จะรวมเป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2563 จากเดิมที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ที่ราคาน้ำมันยังคงถูกกดดันจากการที่ทางสำนักงารสถิติแห่งชาติจีน NBS ได้มีการรายงานว่า ยอดส่งออกเดือน พฤศจิกายน นั้นร่วงลงไป 1% เมื่อเทียบกับรายปี ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในขณะที่เศรษฐกิจนั้นได้รับผลกระทบจากการทำสงครามทางการค้ากับสหรัฐ ที่นอกจากนี้ ทางตลาดยังคงได้รับผลกระทบจากการที่โกลแมน แซคส์…

Read More

ราคาทองฟิวเจอร์ ร่วงหลุด 1,470 ดอลลาร์ ตัวเลขจ้างงานแกร่งทุบตลาด

ราคาทองฟิวเจอร์

ราคาทองฟิวเจอร์ ที่ร่วงลงไป 1% ในวันนี้ หลุดมาระดับที่ 1,470 ดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย หลังการเปิดเผยเป็นตัวเลขจากงานภาคเกษตรของทางสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด ราคาทองฟิวเจอร์ จากนั้นราคาของทองที่ถูกกดดันจากทางมุมมองในเชิงบวกกับการเจรจาทางการค้า ระหว่างสหรัฐ-จีน ขณะเวลา 20.30 น. ตามเวลาของไทย ที่สัญญาทองคำตลาด COMEX หรือ commodity Exchange ที่มีการส่งมอบ ในเดือน กุมภาพันธ์ ที่ร่วงลงไป 14.80 ดอลลาร์ หรือ 1.00% สู่ระดับ 1,468.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ ได้มีการรายงานว่า ตัวเลขของการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่พุ่งขึ้นไปถึง 266,000 ตำแหน่งในช่วงเดือน พฤศจิกายน ที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ อยู่ที่ระดับ 187,000 ตำแหน่ง  ที่ส่วนของอัตราการว่างงาน ลดลงสูระดับ 3.5% ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และเป็นระดับที่ต่ำสูงใขรอบ 50 ปี จากระดับ 3.6% ของช่วงเดือน ตุลาคม ในตัวเลขที่งานนอกภาคทางการเกษตรเดือน พฤศจิกายน พุ่งตัวแรง แตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยที่ได้ปัจจัยแรงหนุนจากการกลับเข้าทำงานของ บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ GM และได้ผลงานก่อนหน้านี้ ที่ในขณะเดียวกันนั้น ทางตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมง โดยเฉลี่ยของแรงงานนั้นเพิ่มขึ้น 0.3% ถ้าเปรียบเทียบกับค่าจ้างรายชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น 3.1% ที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ ที่ระดับ 3.0% ทั้งนี้ เรื่องค่าใช้จ้างรายชั่วโมงนั้นนับเป็นข้อมูลที่ทางธนาคารกลางของสหรัฐ หรือ FED ที่ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณ ในขอบงชี้ภาวะเงินเพ้อ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนในเรื่องของการปรับการจ้างงาน ในเดือนตุลาคม โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่ง จากเดิมที 128,000 ตำแหน่ง และการปรับเพิ่มการจ้างงานในเดือนกันยายน โดยเพิ่มเป็น 193,000…

Read More

BJCHI ลุ้นรายได้ปี 63 แตะ 3.3 พันลบ. หากชนะงานประมูลเหมือง มูลค่า 1พันลบ.

BJCHI

BJCHI หรือ บมจ. บีเจซ๊ เฮฟวี่ อินดัสทรี นายวิทยา เชียงอุทัย ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ และการวางแผนกลยุทธ์ ได้มีการเปิดเผยว่า ทางบริษัทได้มีการคาดการณ์รายได้ในปี 63 ว่าจะขึ้นไปในระดับ 3,300 ล้านบาท ที่โดยปัจจุบันนั้นอยู่ในระหว่างการรอผลการประมูลงานเหมืองแร่ ในประเทศออสเตรเลีย ที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานที่มีโอกาสของการประมูลชนะกว่า 50% โดยที่จะรู้ผลของการประมูลในช่วงไตรมาส 1/63 และถ้าหากได้รับงานก็จะสามารับรู้ได้ถึงรายได้ในทันที แต่อย่างไรก็ตามถ้าหาก BJCHI ไม่สามารถชนะการประมูล โครงการเหมืองแร่ดังกล่าวนี้ได้ ทางบริษัทนั้นก็มีการคาดการว่า จะมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 62 ที่คาดไว้ว่าจะสามารถทำรายได้ ตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นมูลค่า 2,300 ล้านบาท โดยที่ปัจจุบัน มีงานในมือ Backlog อยู่ที่ราวๆ 3,500 ล้านบาท และจะอยู่ในระหว่างการประมูลงานใหม่ ที่มูลค่า 12,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรู้ผลการประมูลงานตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 1/63 เป็นต้นไป ที่ นายวิทยา ได้มีการกล่าวไว้ว่า สำหรับปีนี้ ทางบริษัทนั้นมีการคาดการณไว้ว่าจะมีอัตรากำไรอยู่ที่ 15-20% หลังช่วง 9 เดือนแรก ของปีที่ทำได้แล้ว 17.60% จากปีก่อนที่มีการติดลบอยู่ที่ 6.71% เนืองจากปริมาณงานที่ออกมามากขึ้นนี้ หลังจากที่ทางอุตสาหกรรมของเหมืองแร่ในประเทศออสเตรเลียอยู่ในช่วงที่กำลังจะฟื้นตัว ที่เป็นผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ของทางบริษัท เพิ่มงบ ของการลงทุนในการพัฒนาโครงการ ที่จะส่งผลให้รับรู้ได้ถึงรายได้ ได้อย่างต่อเนื่อง ที่ยังรวมไปถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นด้วย ทางด้าน นายหยัง เจิน ลี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของทาง บมจ. บีเจซ๊ เฮฟวี่ อินดัสทรี ได้มีการเปิดเผยว่า มั่นใจว่าในแนวโน้มผลของการดำเนินงานในปี 62-63 จะกลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง ที่ได้รับปัจจัญหนุนจาก ทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ก๊าซฯ และเหมืองแร่ที่ฟื้นตัว…

Read More

ปิดเช้าลบ 2.87 จุด แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคที่ Panic สงครามการค้า คาดรับแรงหนุน

ปิดเช้าลบ 2.87 จุด

ปิดเช้าลบ 2.87 จุด ของตลาดหุ้นไทยที่ปิดไปในระดับที่ 1,564.76 จุด ที่ลดลง ไปกว่า -0.18% ที่มีมูลค่าการซื้อขาย ไปกว่า 22,817.13 ล้านบาท ปิดเช้าลบ 2.87 จุด ของการซื้อขาย ช่วงเช้านี้ ที่ดัชนีหุ้นไทย มีความเคลื่อนไหวทั้ง บวก-ลบ โดยที่ทำระดับของดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,570.39 และทำระดับต่ำสุดอยู่ที่ 1,556.51 จุด ที่นาย ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล. เคที ซีมิโก้ ที่ได้มีการกล่าวว่า ทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้านี้ นั้นแข็งแกร่ง กว่าตลาดหุ้นใน ภูมิภาคเอเชีย ที่ต่างก็ติดลบ โดยเฉพาะที่ ทางแถบเอเชียเหนือ นั้นก็ปรับตัวลงค่อนข้างมาก เหมือนกันกับ ทางสหรัฐอเมริกา ที่เป็นการ Patic กับประเด็นการทำสงครามทางการค้า หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งสัญญาณ ว่าการทำข้อตกลง ทางการค้าอาจจะล่าช้า ไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง ในช่วงเดือน พ.ย. 2563 ที่ทำให้ผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ ก็อาจจะจะได้รับผลกระทบไปด้วย แนวโน้มทางการลงทุนในช่วงบ่าย ที่ได้มีการกล่าวว่า ทางตลาดฯยังคงแกว่งตัวในกรอบ โดยที่มีแนวรับ 1,570-1,580 จุด ที่พร้อมจะติดตาม การประชุมสภาผู้แนวราษฎร ในช่วงบ่ายนี้ ที่ชี้เสถียรภาพของรัฐบาล และยังติดตามการประชุมกลุ่มโอเปก วันที่ 5-6 ธันวาคม 62 ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่า การซื้อขาย สูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ KBANK ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 1,444.51 ล้านบาท ปิดไว้ที่ 147.00 บาท…

Read More

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ : ค่าใช้จ่ายการชำระค่าเคลื่อนความถี่ และการเติบโตต่ำ

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้กล่าวไว้ในรายงานพิเศษ ที่เผยแผร่วันนี้ว่า อัตตราส่วนหนี้สินของทางผู้ประกอบการโทรคมนาคมไทย น่าจะปรับตัวแย่ลงในปี 2563 กระแสเงินสดสุทธิ ที่จะปรับตัวเป็นลบเนื่องจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เติบโตช้า  นั้นไม่น่าจะเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทางด้านของการลงทุน และค่าคลื่นคาวมถี่ปรับตัวสูงขึ้น กับประสิทธิภาพ ในการสร้างรายได้จากการให้บริการข้อมูลที่อยู่ในระดับต่ำ และตลาดการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่เข้าสู่สภาวะอิ่มตัว จะสร้างแรงกดดับ ต่อการเติบโตของรายได้ และกำไรผู้ประกอบการ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้มีการคาดการอัตราส่วนหนี้สินสุทธิจากกำไร จากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย Net Debt to EBITDA ที่โดยเฉลี่ย จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.1 เท่า ในปี 2563 ที่ประมาณของปี 2562 นั้นอยู่ที่ 1.8 เท่า สำหรับผู้ประกอบการ โทรศัพท์ เคลื่อนที่รายใหญ่ ทั้ง 3 ราย ซึ่งได้แก่ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ที่เป็นอันดับเครดิต BBB+ /AA+ (tha) ที่แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ที่เป็นอันดับเครดิต BBB+ /AA+ (tha) ที่แนวโน้มเครดิตเป็นลบ และธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) ฟิทช์ มีการคาดการว่าทางผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นจะมุ่งเน้น ในการทำกำไรและ การปรับปรุงอัตราส่วนหนี้สิน เพื่อที่จะรักษา เงินสดสำหรับ 5G ที่คาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามโครงข่ายระบบ…

Read More

ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์ จะต่อสู้ข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม ในศาลอุทธรณ์

ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์

ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด PMTL พร้อมยื่นอุทธรณ์คำตัดสินศาลอาญาชั้นต้น ซึ่งจะพบว่ามีการสำแดงราคานำเข้าบุหรี่ จากฟิลิปินส์ ในระหว่างปี 2546 -2549 ที่ไม่ถูกต้อง ทางศาลที่พิพากษายกฟ้องพนักงานที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องทั้งหมด ซึ่งจะเป็นประจำเลยในคดีนี้ ในขณะที่ทางศาลพิจารณา ให้เห็นว่ามีภาษีอากรนำเข้า ที่ขาดไปเป็นจำนวน 306,497,667.87 บาท หรือ ประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้มีการกำหนดว่า ค่าปรับจำนวนสีเท่าของจำนวน ของจำนวนของ อาการที่ขาดไปดังที่กล่าว ซึ่งทำให้ ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์ โดนค่าปรับ ที่เป็นจำนวน 4 เท่า ที่มีมูลค่า เป็นจำนวน 1,225,990,671 บาท หรือเป็นจำนวน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ทาง ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ PMI ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง และคำตัดสินที่ไม่ระบุให้ PMI ที่มีความรับผิดชอบในเรื่องของค่าปรับ ที่ เจอรัลด์ มาร์โกลีส ผู้จัดการสาขา PIM ได้กล่าวว่า เขานั้นจะยื่นอุทธรณ์ ต่อคำตัดสินของทางศาลอาญาทันที เพราะว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับคำตัดสิน ของทางกรมศุลกากร และองค์กรการค้าโลก ที่ก่อนหน้านี้ ที่เห็นด้วยกับราคานำเข้าที่ PMT สำแดง ซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังที่ศาลไม่ให้น้ำหนักต่อคำวินิจฉัย ของทางหน่วยงานทั้งไทย และต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับการนำเข้านี้ที่มีมาตลอด 15 ปี และมีคำ สั่งที่ปรับโดยยึด จากทฤษฏี ราคาที่เกี่ยวข้อง ในประเทศที่แตกต่างกับโดยสิ้นเชิง ตลอดเวลาทศวรรษที่ผ่านมา ที่ทางหน่วยงานทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงกรมศุลกากรของไทย นั้นได้พิจารณาต่อราคานำเข้าของเราและสรุปเหมือนกันว่า  PMTL สำแดงราคาของศุลกากร ที่ถูกต้องเหมือนกับ องค์กรการค้าโลก WTO ที่ได้มีคำวินิจฉัยออกมาหลายครั้งว่าประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของทางการค้าโลก…

Read More